เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑ ส.ค. ๒๕๔๕

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๔๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ดวงอาทิตย์ดวงเดียวกัน เห็นไหม แสงสว่างของดวงอาทิตย์นี่ดวงเดียวกัน แต่ทำไมปัญญาของคนไม่เหมือนกัน ความเห็นของคนไม่เหมือนกัน ความเห็นของคนมันเป็นความเห็นของคน แต่ความเห็นของเรา ถ้าปัญญามันเกิดขึ้นมันจะเป็นไปได้

วันนี้วันพระนะ วันพระวันที่ว่าตั้งแต่เข้าพรรษามาตั้งต้นทำอะไรกัน? ถ้าวันพระวันเจ้า เราพยายามตั้งกติกาของเราเอง เราจะทำความเพียรของเรา ความเห็น เห็นไหม นี่ดวงอาทิตย์ดวงเดียวกัน แต่คนมืดบอดมันก็มืดบอดตามประสาของความมืดบอดของเขา แต่ถ้าความสว่างของใจมันเกิดขึ้นมา มันจะหาทางออกได้ มันจะพยายามทำความเพียรของเราได้ เราไม่เป็นเหยื่อของใคร เป็นเหยื่อของเขานี่ เป็นเหยื่อของตัวเองก็พอแล้ว

เวลาความคิดมันหลอกขึ้นมานี่ แล้วเราก็ตามความคิดของเราไป หมุนเวียนไปกับความคิดของเราไป ตื่นเต้นไปกับความคิดของเรา นี้เหยื่อของกิเลส กิเลสมันหลอกเราเอง เราก็เป็นเหยื่อของกิเลสเราอยู่แล้ว แล้วอย่างอื่นนี่เราก็เป็นเหยื่อของเขาอีก เห็นไหม มันถึงต้องว่า อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนจะพึ่งตนเองได้ต้องย้อนกลับมา ทาน ศีล ภาวนา

สุดท้ายแล้วมันต้องมีภาวนาทั้งนั้น ถ้าภาวนาถึงจะเอาตัวรอดได้ ถ้าไม่ภาวนาเอาตัวรอดไม่ได้หรอก กิเลสมันปิดบังเอาไว้อย่างนั้น มันจะเอาตัวรอดได้หรือเอาตัวรอดไม่ได้ มันจะย้อนกลับมาภายใน ปัญญาของเราจะเกิดขึ้นได้

คนมืดบอด มืดบอดจริงๆ นะ ความมืดบอดมันไม่เห็นความเห็นของคนอื่นหรอก มันคิดแต่ความเห็นของมันเอง แล้วมันปกคลุมความเห็นของมันเอง ปกคลุมใจของตนเอง ความคิดของเรานี่ปกคลุมใจของเรา แล้วเราก็ต้องเป็นขี้ข้าใจของเราไป ใจของเรามันฉุดกระชากลากเราไปตลอดไปขนาดไหน มันเป็นความฉุดกระชากลากไป

นี่ถ้าไม่มีธรรมะ เอาแสงของธรรมเข้าเจือจาน เข้ามาเจือจานให้มันสว่างขึ้นมาก่อน พอใจมันสว่างขึ้นมา มันจะแก้ไขของมันเอง จะแก้ไข เห็นไหม จะแก้ไขคือมีความพอใจ ถ้าเรามีความพอใจ เรามีความเพียรของเรา นี่เราจะแก้ไขใจของเราได้ ถ้าเราไม่มีความพอใจเรา เราจะแก้ไขใจของเราไม่ได้เลย ถ้าไม่มีความพอใจมันไม่มีความเริ่มต้น

ความเริ่มต้นของความพอใจของใจนี่ ใจจะย้อนกลับมาพิจารณาใจของตัวเอง ถ้าพิจารณาใจของตัวเอง เห็นไหม นี่ใจมันตัวพาเกิดพาตาย ใจมันเป็นปัญหาใหญ่ที่สุด อย่างอื่นเป็นเครื่องอยู่อาศัยทั้งหมด ความเป็นอยู่อาศัยมันก็ต้องอาศัยกันไป อาศัยกันไปชั่วชีวิตหนึ่ง ถ้าเราจะบำรุงรักษาเพื่อคุณงามความดีของเรา เราก็จะบำรุงรักษาเพื่อคุณงามความดีของเรา เพื่อเอาร่างกายนี้ได้ประพฤติปฏิบัติธรรมต่อไป ประพฤติปฏิบัติธรรมให้มันถึงที่สุด ถ้ามันไม่ถึงที่สุดมันก็ต้องตายไป นี่เราจะเอาบำรุงรักษารักษาเพื่อเหตุนั้น

แต่ถ้าบำรุงรักษาเพื่อกิเลส เห็นไหม กิเลสมันว่ามันไม่พอตลอดไปหรอก ทุกอย่างมันจะไม่พอตลอดไป เราต้องตัดออกนี่ เติมฟืนเติมไฟเข้าไป เชื้อไฟมันพุ่งถึงสุดขอบฟ้า อันนี้ก็เหมือนกัน ถ้าเราคิดตามประสาของมันไป มันจะบำรุงรักษาของมันขนาดไหน มันก็บำรุงรักษาของมันไป บำรุงรักษาแล้วมันจะหายหรือไม่หายมันก็อีกเรื่องหนึ่งเพราะอะไร? เพราะใจมันเข้าไปกังวล เห็นไหม ถ้าเราทำใจของเราด้วย ร่างกายมันจะป่วยไข้นั่นมันเป็นเรื่องของร่างกายมันจะป่วยไข้ไป ถ้ามันจะป่วยไข้ เห็นไหม

แต่ถ้าหัวใจมันไม่ไปส่งเสริมขึ้นไป มันหายได้ด้วยธรรมชาติของมัน มันจะหายได้เองโดยบารมีธรรม เห็นไหม ธรรมโอสถนี่มันสามารถคือว่าใจไม่ไปกระตุ้น ไม่ให้ไปสิ่งเร้าให้ร่างกายนั้น...พิษภัยมันเจริญงอกงามขึ้นไป นี่ย้อนกลับมาธรรมโอสถ ใจถึงไม่ไปเกาะเกี่ยวกับมัน ใจเราเป็นใจของเรา เรารักษาใจของเราเพื่อใจของเรา

แต่ร่างกายมันจะชำรุดทรุดโทรมไป มันต้องชำรุดทรุดโทรมไปโดยธรรมชาติของมัน แต่มันชำรุดทรุดโทรมไปโดยที่ว่าเราไม่ได้ประโยชน์ เห็นไหม ในการวิปัสสนาไป มันจะเห็นเป็นอนิจจัง เห็นเป็นอนัตตา ความเป็นอนัตตามันก็ชำรุดทรุดโทรมไป มันชำรุดทรุดโทรมไปพร้อมกับความเห็นของใจ ใจมันจะเห็นขึ้นมาแล้วมันจะปล่อยวาง มันจะเข้าใจเรื่องอย่างนั้น แล้วสิ่งนั้นมันจะหลุดออกไปจากใจ สิ่งที่มันจะหลุดออกไปจากใจนี้ มันเป็นความกังวล ความทุกข์ ความต่างๆ ความกังวลหลุดออกไปจากใจ แล้วมันก็อาศัยกันอยู่อย่างนั้นเหมือนกัน สิ่งที่อาศัยอยู่อย่างนั้น แล้วมันก็ยังเป็น ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา เห็นไหม มันก็จะเป็นภาระตลอดไป เป็นภาระจนกว่าเราจะสลัดทิ้งธาตุขันธ์ออกไปแล้วใจจึงเป็นอิสระ แต่ใจมันจะเป็นอิสระได้หรือไม่อิสระได้ มันอยู่ตรงที่ว่าเราทำใจของเราก่อนนี่ ทำใจของเราขึ้นมา เห็นไหม

คือว่า คนๆ เดียวนั้นน่ะถ้ามันมืด มันไม่เข้าใจ มันก็จะไม่ยอมเชื่อใครเลย มันจะเชื่อตัวมันเอง แต่พอคนๆ เดียวนั้นพอเริ่มเปิดใจขึ้นมานี่ มันจะเชื่อธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลย

นรก สวรรค์...มี

มรรค ผล นิพพาน...มี

ความเป็นไปของใจมันต้องมี เพราะมีขึ้นมามันก็จะขยับเขยื้อน เห็นไหม ขยับเขยื้อนโดยการก้าวเดินออกไป ก้าวเดินออกไปเพื่อที่จะพ้นออกไปจากความมืดบอด ความมืดบอดของใจ ถ้าความมืดบอดของใจขึ้นมา มันจะก้าวเดิน มันจะพัฒนาขึ้นไป

มันพัฒนาขึ้นไปนี่มันจะเริ่มออกไป...ออกไป...แล้วมันเกิดมาจากอะไร? มันไม่เกิดขึ้นมาลอยๆ ธรรมะเกิดขึ้นมาลอยๆ ไม่ได้ ทุกอย่างจะเกิดขึ้นมาลอยๆ ไม่ได้ เว้นไว้แต่กิเลสมันเกิดขึ้นมาลอยๆ ได้ กิเลสมันเกิดดับจากใจ แล้วมันก็จินตนาการประสาของมัน มันเกิดขึ้นมาลอยๆ นะ มันไม่มีเหตุไม่มีผลหรอก มันร้ายกาจขนาดนั้น มันเกิดลอยๆ ในหัวใจของเรานี่แหละ เกิดลอยๆ แล้วก็ดับลอยๆ แล้วก็ทิ้งไว้แต่ความกังวล ทุกข์หมองไหม้ทิ้งไว้ที่ใจ นี่กิเลสของเรามันจะทิ้งไว้ที่ใจ แล้วทิ้งสิ่งนั้นไว้ตลอดไป

แต่จะชำระมันได้ต้องใช้ปัญญา สิ่งนี้เป็นปัญญาขึ้นไปมันต้องใคร่ครวญขึ้นไป ปัญญามันเกิดขึ้นมาเป็นความละเอียดเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป ถ้ามันละเอียดขึ้นมา มันจะเริ่มพัฒนาของมันขึ้นมา ถ้ามันไม่ละเอียดขึ้นมา เห็นไหม มันก็เริ่มจากปัญญาอย่างหยาบๆ ขึ้นมา มันก็ยังดี มันดีที่ว่ามันเริ่มจะเปิดหัวใจ เปิดหัวใจขึ้นมา...ถ้ามันเปิดหัวใจขึ้นมามันพัฒนาขึ้นไปได้ มันพัฒนาขึ้นไป สิ่งนี้มันเป็นเรื่องอริยสัจ แต่เรื่องความเห็นต่างๆ ความรู้ต่างๆ นั่นน่ะ มันเป็นเรื่องของข้างเคียงเครื่องเคียง เครื่องเคียงที่ยังเปิดขึ้นมานั้นเป็นอาการของใจ

ครูบาอาจารย์สำคัญตรงนี้ไง สำคัญตรงพยายามคัดหางเสือ พยายามคัดความเห็นของเราให้เข้ามาสู่มัชฌิมาปฏิปทา ถ้าคัดเข้ามาสู่มัชฌิมาปฏิปทามันจะเข้าวงของอริยสัจ นี่วงอริยสัจเวลาพูดมันพูดง่ายนะ มันจืด มันชืด มันไม่เหมือนความรู้ความเห็นต่างๆ ความรู้ความเห็นต่างๆ มันจะตื่นเต้น ทำให้ใจตกใจ เห็นไหม ทำให้ใจมีความรู้ต่างๆ แล้วมันจะสำคัญตนออกไป ความรู้ความเห็นอันนั้น มันเป็นความรู้ของการก้าวเดินออกไป

แต่วงอริยสัจคือวงของปัญญานี่ มันต้องย้อนกลับเข้ามา จากการวิปัสสนาเข้ามา เห็นไหม นี่วิปัสสนาเข้ามา มันถึงต้องทำความสงบของใจ เว้นไว้ความสงบของใจ ถ้าใจสงบขึ้นมามันถึงจะเป็นไปได้ ถ้าสงบขึ้นมา เห็นไหม ปัญญามันจะละเอียดขึ้นไป...ละเอียดขึ้นไป...มันจะชำระกิเลสของเราเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป ชำระกิเลสของเราเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป เห็นไหม กิเลสของเรา กิเลสของสัตว์โลก ของใจดวงใดเป็นของใจดวงนั้น ใจดวงนั้นแบกหามสิ่งนี้มาตลอดตั้งแต่เกิดมาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ หามสิ่งนั้นตลอดมา แล้วก็จะติดใจดวงนั้นไปถ้าไม่ชำระตั้งแต่ปัจจุบันนี้ ถ้าชำระปัจจุบันนี้ มันถึงต้องมีสิ่งต่างๆ เกื้อหนุนกัน

เราเห็นด้วย การประพฤติปฏิบัติเห็นด้วย ทุกอย่างเห็นด้วยนะ ให้มีความมานะอดทน ความมานะอดทนจากใจดวงนั้นน่ะ มันเกิดขึ้นมาจากความเห็นความพอใจ ถ้ามันเกิดขึ้นมาจากความพอใจ มันทำได้นะ ถ้าไม่มีความพอใจ ความเห็นของใจไม่เห็นประโยชน์ของมัน มันจะก้าวเดินไม่ได้เลย มันเห็นสิ่งนั้นเป็นประโยชน์ มันจะไม่เหยียบย่ำสิ่งนั้น ถ้าสิ่งนั้นเป็นประโยชน์มันก็จะจับต้องสิ่งนั้น แล้วพยายามยึดสิ่งนั้นเป็นของเรา สิ่งนั้นเป็นของเรา เห็นไหม เป็นของเราไปเรื่อยๆๆ จนถึงที่สุดแล้วมันต้องทำลายตัวตน ทำลายของของเรา ทำลายทุกสิ่งที่เป็นของของเรา ทำลายทั้งหมดเลย พอทำลายทั้งหมดมันก็เป็นอิสระขึ้นมา ถ้าไม่ทำลายมัน มันติดพันไป มันไม่เป็นอิสระขึ้นมาได้ มันจะเป็นอิสระขึ้นมาได้อย่างไร ในเมื่อมันเกี่ยวพันกันไปอย่างนั้น มันหมุนเวียนกันไป ในเมื่อมีความเกิดดับในหัวใจ

สิ่งนี้กิเลสมันก็เกิดดับพร้อมกับธาตุขันธ์นั้น แล้วก็เสี้ยมความเห็นของตัว ให้ความเห็นของตัวเลอะเลือนไป เลอะเลือนจากหลักธรรม เห็นไหม แต่ไปชัดเจนในเรื่องของกิเลส ไปชัดเจนในเรื่องของการยึดมั่นถือมั่น แต่ถ้ามันปล่อยวางขึ้นมานี่ สรรพสิ่งนี้มันเป็นเรื่องของโลกเขา มันเป็นเรื่องกรรมของสัตว์ สัตว์มันมีกรรมอย่างไร? มันก็ต้องประสบตามกรรมของเขา แล้วมันมีอำนาจวาสนาขึ้นมา มันจะปลดเปลื้องตามอำนาจวาสนาของเรา

อำนาจวาสนานะ อำนาจวาสนาเป็นสิ่งที่จะปลดเปลื้องไปได้ แต่ในการกระทำของเรา เราพยายามฝึก ฝืนของเราขึ้นมานี่ มันเป็นอำนาจวาสนาอยู่ที่กำมือของเรา อยู่ในอำนาจวาสนาของเรา ถ้าพยามยามจับต้อง เราพยายามจับสิ่งนี้พัฒนาขึ้นมา มันจะพัฒนาในใจขึ้นมา

นี่กุศลเกิดๆ ตรงนี้ กุศลเกิดขึ้นมาจากความเห็นถูกต้อง ความถูกต้องเข้ามา แล้วพัฒนาของเราขึ้นไป พัฒนาของเราขึ้นมา มันก็เห็นความจริงของเราขึ้นมา เห็นความจริงของเราขึ้นมาเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา

ความเชื่อ เห็นไหม ความเชื่อจากภายใน ศรัทธากับความเห็นรู้แจ้ง ความรู้แจ้งจากภายในมันจะชำระกิเลสได้ ความศรัทธาความเชื่อมันแก้บาทฐาน แก้สิ่งที่เข้าไปหาความจริง เข้าไปความจริงโดยการประพฤติปฏิบัติของใจดวงนั้น ใจดวงนั้นถึงจะเป็นหลักการขึ้นมา หลักการของใจขึ้นมา แล้วจะเข้าใจตามความเป็นจริง เห็นไหม

นั้นน่ะไม่เชื่อใคร เชื่อความเห็นของจริง พระสารีบุตรบอกพระพุทธเจ้า เห็นไหม ไม่เชื่อคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าด้วย แต่เดิมนี้เชื่อมาก่อน เชื่อมาเพื่อที่จะก้าวเดิน แต่ถึงที่สุดแล้วไม่เชื่อสิ่งใดเลย เชื่อความเห็นของตัว เชื่อความจริงที่ตัวเห็น ตัวเห็นแต่ความจริงอันนี้ อันนี้เป็นหลักการในสัจธรรม

“ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต”

ผู้ใดเห็นสัจจะความจริง ผู้นั้นจะรู้ความจริงจากภายใน ความจริงจากภายใน อันนี้ เป็นหลักการที่ว่าใจมันพัฒนาขึ้นมา จนถึงที่สุดใจนี้พ้นไปได้ จากพระอาทิตย์ดวงเดียวกันส่องมาในโลกเหมือนกัน คนจะใช้ประโยชน์จากพระอาทิตย์นี้ แล้วแต่ว่าคนจะใช้มากใช้น้อย ปัญญาเกิดขึ้นมาจากใจก็เหมือนกัน ใครพัฒนาได้มากก็ใช้ได้มาก ใครพัฒนาได้น้อยก็ใช้ได้น้อย ใช้ได้น้อยนะ การพัฒนาเห็นไหม

แล้วคนที่มันปิดบังใจของตัวเอง มีความเห็นของตัวเองในทางมิจฉาทิฏฐิ ยึดมั่นถือมั่นมาก แล้วก็คิดว่าตัวเองฉลาด คิดว่าตัวเองฉลาด จนกว่าจะตายไป ตายไปเสวยภพ เสวยชาติ เขาจะรู้ของเขาเองว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ผิด เพราะอะไร? เพราะมันจะให้ความเป็นทุกข์ของเขา แต่พวกที่เขาว่าเป็นคนโง่ ความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งของต่างๆ สละออกไป สิ่งนั้นต่างหากจะทำให้ผู้นั้นพ้นออกไป ผู้นั้นจะมีบุญกุศลของใจขึ้นมา สิ่งนั้นจะเป็นที่พึ่งของใจ แล้วใจจะเห็นตามความเป็นจริง (เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)